Home Blog

กลิ่นตัวแรงทําไงดี pantip

กลิ่นตัวเมื่อเกิดขึ้นจะมีกลิ่นที่เหม็นและฉุน ซึ่งกลิ่นตัวแรงทําไงดี pantip จะเป็นตัวส่งสัญญาณที่แสดงถึงบุคลิกภาพของคนคนนั้นได้เป็นอย่างดีว่ามีการดูแลสุขลักษณะของตัวเองเป็นอย่างไร หากกลิ่นที่ออกมาจากร่างกายเป็นกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์แล้ว ก็จะสร้างความลำบากใจให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้างและเจ้าของกลิ่นได้ไม่น้อย ซึ่งจะสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ที่มีกลิ่นตัวเป็นอย่างมาก และในผู้ที่มีกลิ่นตัวบางรายที่มีกลิ่นตัวไม่แรงมากอาจจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่จะระงับกลิ่นกายบรรเทาอาการได้ แต่ก็ยังมีข้อให้สังเกตว่าหากผู้ใดที่มีขึ้หูเปียกจะทำให้มีกลิ่นตัวแรง ส่วนคนที่มีขี้หูแห้งจะไม่ค่อยมีกลิ่นตัวแต่อย่างใด ในกรณีของผู้ที่มีกลิ่นตัวคงต้องมามองหาสาเหตุกันว่าเกิดจากปัญหาในส่วนใดเพื่อที่จะหาวิธีแก้ไขให้ถูกวิธี

กลิ่นตัวแรง เกิดจากสาเหตุใด ?

  • ต่อมเหงื่อในร่างกาย

ในร่างกายของคนเราจะประกอบไปด้วยต่อมเหงื่อ 2 ต่อม คือ ต่อม eccrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น มักจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะผลิตเหงื่อที่มีลักษณะใสเหมือนน้ำ เหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนัก ๆ หรืออยู่ในภาวะอากาศร้อน ซึ่งต่อมเหงื่อต่อมนี้จะเป็นตัวช่วยรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ และต่อม apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น และจะกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะตามารูขุมขนไม่ว่าจะเป็นหนังศีรษะซึ่งจะมีมากที่สุด รักแร้ ขาหนีบ และแผ่นหลัง เหงื่อชนิดนี้จะมีลักษณะเหนียวใสคล้ายขี้ผึ้ง มีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก และเมื่อมีเหงื่อออกมาจะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ปกติแล้วต่อมเหงื่อจะมีมากในเพศหญิง แต่เมื่อเหงื่อถูกขับออกมากลับกลายเป็นว่าต่อมเหงื่อในเพศชายจะมีการขับเหงื่อออกมามากกว่าเพศหญิง

  • การทำความสะอาดที่มากเกินไป ซึ่งการทำความสะอาดที่มากเกินไปนี้จะทำให้กลิ่นตัวของคุณเลวร้ายลงได้ ซึ่งบางคนใช้สบู่ต้านแบคทีเรียที่มากเกินไป หรือในบางรายอาจใช้แอลกอฮอล์ถูซ้ำอีกรอบ ซึ่งนั่นทำให้ผิวของท่านแตกและแห้งได้เมื่อผิวแห้งจะทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากขึ้นเพื่อมาต่อสู้ เนื่องจากร่างกายขาดความชุ่มชื้นมากเกินไปนั่นเอง
  • อาหาร ซึ่งอาหารที่เป็นจำพวกเครื่องเทศและอาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ พืชประเภทฝักถั่ว กระเทียม หัวหอม เต้าเจี้ยว ผักชี แกงกะหรี่ แฮม ปลาทูน่า ฯลฯ รวมไปถึงอาหารที่มีรสจัดก็ล้วนแต่เป็นตัวที่ทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ เพราะทำให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน
  • ฮอร์โมน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนมาก จึงทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  • เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือความผิดปกติของร่างกาย ที่อาจจะทำให้เหงื่อออกมากจนทำให้เกิดกลิ่นตัวแรงทําไงดี pantip ได้ ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานที่บกพร่องของระบบเผาผลาญของระบบทางเดินอาหาร ทำให้ร่างกายสร้างเคมีบางชนิดที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ
  • ยาบางชนิด ส่วนมากจะเป็นการเป็นทายากรักษาสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ซึ่งจะมีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  • สภาพอากาศ เนื่องจากสภาพอากาศบ้านเราเป็นอากาศที่ร้อนหรือร้อนชื้น จึงทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น

นวัตกรรมกำจัดกลิ่นตัวแรง คืออะไร ?

Miradry หนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของเหงื่อและกลิ่นตัวบริเวณใต้วงแขนใหม่ล่าสุด เป็นการใช้พลังงานคลื่นไมโครเวฟที่เรียกว่า miraWave เพื่อเข้าไปทำลายต่อมเหงื่อ และต่อมกลิ่น โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และยังมีความปลอดภัยสูง เป็นเทคโนโลยีที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ครอบคลุมมากที่สุด อีกทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ตลอดชีพอีกด้วย เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่มาใหม่ล่าสุดจากประเทศสหรัฐอเมริกา

เครื่องนี้จะทำงานโดยการใช้พลังงาน miraWave เพื่อสร้างคลื่นความร้อนแบบไมโครเวฟในบริเวณต่อมสร้างกลิ่นเหงื่อ ทำลายต่อมเหงื่อบางส่วนบริเวณรักแร้โดยเฉพาะ อย่างปลอดภัย โดยที่บริเวณใต้วงแขนจะมีส่วนที่เป็นต่อมเหงื่อและต่อมกลิ่นอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยต่อมเหงื่อนั้นจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมาก จึงทำให้คลื่น miraWave ออกฤทธิ์กับต่อมเหงื่อได้เป็นอย่างดี ต่อมกลิ่นซึ่งอยู่ในตำแหน่งใกล้ ๆ ก็สามารถใช้คลื่น miraWave ทำลายได้เช่นกัน และบุคคลที่เหมาะกับการใช้เครื่อง miradry คือ ผู้ที่มีปัญหาเหงื่อออกเยอะทำให้มีกลิ่นตัวแรง ผู้ที่แพ้โรลออนหรือสารเคมีอื่น ๆ ผู้ที่มีเหงื่อออกมากบริเวณรักแร้ ผู้ที่เคยเข้ารับการรักษาด้วยวิธีฉีดสารระงับกลิ่นตัวบางประเภทมาก่อน และสาว ๆ ที่มีปัญหาในเรื่องของจิมิมีกลิ่นเหม็นอับ

ปัญหากลิ่นตัวเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้ที่มีกลิ่นตัวจะสูญเสียความมั่นใจ ก็จะมีผู้ที่มีปัญหาในเรื่องกลิ่นตัวต้องการรับการรักษาแบบระยะยาว ซึ่งปัจจุบันนี้ได้มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่สามารถแก้ปัญหากลิ่นตัวและเหงื่อได้โดยให้ผลลัพธ์ระยะยาวซึ่งเป็นการใช้นวัตกรรม miradry เป็นเลเซอร์สำหรับกำจัดต่อมกลิ่น ต่อมเหงื่อ รวมถึงรากขนบางส่วน เรียกได้ว่าสามารถกำจัดปัญหากลิ่นตัวจากต้นเหตุของปัญหาเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังให้ผลลัพธ์ที่มั่นคง และระยะยาว แถมยังไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้นนานอีกด้วย

ทำไมต้อง miradry

  • ระยะเวลาในการทำไม่นาน โดยแพทย์จะทำการวัดขนาดของต่อมเหงื่อ ทำการวาดลายเพื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องยิงคลื่น ฉีดยาชา แล้วทำการยิงให้ทั่วทุกจุดและครบถ้วนทั้งสองข้าง ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่เกินชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
  • ไม่เจ็บตัว และไม่มีบาดแผล ซึ่งในอดีตนั้นการที่จะกำจัดต่อมเหงื่อไปจากร่างกายนั้นจะต้องใช้วิธีการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ miradry สามารถให้ผลลัพธ์ได้เช่นเดียวกับการผ่าตัด แต่ใช้เพียงแค่กระบวนการยิงคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ไม่มีการใช้มีด ไม่มีการเสียเลือด และไม่มีบาดแผลให้ต้องไปดูแลรักษาต่อหลังการทำ
  • การทำ miradry ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า แค่เดินเข้าไปแล้วรับการรักษาได้เลย ไม่จำเป็นต้องงดยา งดอาหาร หรืออื่น ๆ เช่นเดียวกับการผ่าตัด
  • ให้ผลลัพธ์ระยะยาว และเป็นแนวทางการรักษากลิ่นตัวแรงทําไงดี pantipที่ดีที่สุด
  • การรักษากลิ่นตัวด้วยวิธีนี้จะมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากไม่มีบาดแผลในการทำ และไม่ต้องใช้ยาสลบจึงไม่เกิดผลข้างเคียงใด ๆ ทั้งสิ้น

กลิ่นตัวแรงทําไงดี pantip เรื่องกลิ่นตัวปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาวิธีรักษาที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หนึ่งในนั้นคือการรักษาด้วยการทำ miradry ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่ก่อนที่จะเข้ารับบริการจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดีไม่ว่าจะเป็นสถานบริการ หรือแพทย์ที่จะทำการรักษานั้นมีความเชี่ยวชาญมากน้อยแค่ไหน และสถานบริการนั้นจะต้องมีความปลอดภัยสะอาดและได้มาตรฐาน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเอง

กลิ่นตัวแรงเกิดจาก

กลิ่นตัว กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ที่มักเกิดขึ้นในวัยหนุ่มสาว ซึ่งกลิ่นตัวแรงเกิดจากต่อมเหงื่อที่ทำงานมากขึ้นเพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมากโดยเฉพาะที่บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ เท้า หรือขาหนีบในระหว่างออกกำลังกาย รวมถึงการทำกิจกรรมในที่ที่มีอากาศร้อน เมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังจึงทำให้เกิดกลิ่นตัวหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น อาหารก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ โดยอาหารที่จะทำให้เกิดกลิ่นตัวนั้นมักจะเป็นอาหารเผ็ด อาหารรสจัด ที่จะทำให้ร่างกายเกิดความร้อนที่จะต้องระบายเอาเหงื่อออกมา ไม่ว่าจะเป็น พริกไทย พริกขี้หนู กระเทียม หัวหอม กุยช่าย เครื่องเทศต่าง ๆ  อาหารเหล่านี้สามารถให้กลิ่นผ่านเหงื่อได้ด้วย ยังไม่รวมเครื่องดื่มจำพวกแอลกอฮอล์เช่นกันที่ทำให้ร่างกายมีกลิ่นได้

กลิ่นตัวแรงเกิดจาก สาเหตุอะไร ?

มนุษย์เราจะมีต่อมเหงื่อที่สำคัญอยู่ด้วยกัน 2 ต่อม ดังนี้ ต่อมเอกไครน์ และต่อมอะโพไครน์ ซึ่งแต่ละต่อมจะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ต่อมเอกไครน์ (Eccrine Gland) ต่อมนี้จะอยู่บนผิวหนังทำหน้าที่ผลิตเหงื่อเมื่อร่างกายมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อคลายความร้อนในร่างกาย ในเหงื่อจะมีน้ำและเกลือเป็นส่วนประกอบหลัก และจะระเหยเมื่ออุณหภูมิในร่างกายเย็นตัวลง
  • ต่อมอะโพไครน์ (Apocrine Gland) ต่อมนี้จะอยู่ในบริเวณที่มีขนขึ้นมาก เช่น รักแร้ ขาหนีบ เมื่อเกิดความเครียดจะผลิตของเหลวที่มีสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมออกมาและเมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังจะทำให้เกิดกลิ่นขึ้น

และยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวอีกหลาย ๆ ปัจจัยไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเชื้อชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรป ชาวอินเดีย ชาวตะวันออกกลาง ซึ่งจะมีกลิ่นตัวที่แรงมากกว่าชาติพันธุ์ฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะคนผิวดำเนื่องจากจะมีพันธุกรรมของต่อมเหงื่อที่มีความรุนแรงกว่าคนผิวขาว อาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทไขมัน นม เนย สารระเหยในอาหารเหล่านี้จะถูกขับออกมาพร้อมกับเหงื่อและทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ รวมไปถึงฮอร์โมนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่นซึ่งจะมีผลต่อการเกิดกลิ่นตัวได้มาก และสุดท้ายในเรื่องของวัฒนธรรมและสภาพอากาศ ผู้คนบางประเทศที่อยู่ในพื้นที่ที่อากาศหนาวมักจะไม่อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายบ่อย ๆ จนส่งผลให้เกิดกลิ่นตัวได้

ป้องกันและกำจัดกลิ่นตัว ต้องทำยังไง ?

ปกติแล้วคนเราจะมีเหงื่อซึ่งเหงื่อจะก่อให้เกิดกลิ่นตัวซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยที่กลิ่นตัวจะส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง โดยปกติกลิ่นตัวสามารถจัดการได้ด้วยการกำจัดแบคทีเรียบนผิวหนังที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว โดยเฉพาะที่บริเวณรักแร้ให้สะอาดและไม่เปียกชื้น รวมถึงสามารถปฏิบัติได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • ดูแลความสะอาดของรักแร้ สาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวมาจากรักแร้ซึ่งเป็นอวัยวะที่มีต่อมอะโพไครน์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นควรอาบน้ำและทำความสะอาดบริเวณรักแร้ให้สะอาดด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย และจะต้องทำการเล็มหรือโกนขนรักแร้เป็นประจำ เพื่อทำให้เหงื่อระเหยได้ไวขึ้น ลดการสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรีย และควรดูแลใต้วงแขนให้แห้งเสมอจะช่วยลดการเกิดกลิ่นตัวได้
  • ควรอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เพื่อที่จะชำระล้างสิ่งสกปรกและกำจัดเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง หลังอาบน้ำควรเช็ดตัวให้แห้ง เพราะแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ที่มีความเปียกชื้น
  • เพื่อเป็นการลดการผลิตเหงื่อ สามารถใช้สารระงับเหงื่อที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมคลอไรด์ เมื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ แนะนำให้ทาที่รักเป็นประจำทุกคืนช่วงก่อนเข้านอนแล้วล้างออกในตอนเช้า และเมื่อเหงื่อลดลงอาจปรับให้เหลือเป็นวันเว้นวันหรืออาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง
  • ยาดับกลิ่นตัว จะมีส่วนผสมที่มีแอลกอฮอล์เป็นหลัก ซึ่งยาดับกลิ่นตัวนี้จะไม่สามารถลดการผลิตเหงื่อได้แต่จะเป็นการลดปฏิกิริยากับแบคทีเรีย ซึ่งจะเป็นการปรับสภาพผิวให้มีความเป็นกรดมากขึ้น
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด โดยหลังการออกกำลังกายหรือการทำกิจกรรมที่ทำให้มีเหงื่อออกมากควรเปลี่ยนชุดทันที และควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน หรือผ้าไหม จะช่วยระบายอากาศและทำให้เหงื่อระเหยได้ไวขึ้น
  • ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีกลิ่นรุนแรงไม่ว่าจะเป็นกระเทียม ผงกะหรี่ หอม หรือแม้กระทั่งเนื้อแดง เนื่องจากจะทำให้เหงื่อมีกลิ่นและเกิดกลิ่นตัวได้
  • หากพบว่าตัวเองมีกลิ่นตัวที่สร้างความรบกวนในชีวิตประจำวันจนทำให้สูญเสียความมั่นใจควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดความผิดปกติในร่างกายที่เรียกว่าภาวะหลั่งเหงื่อมาก หรือการที่มีเหงื่อออกมากอาจมาจากการใช้ยาบางชนิด เพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

กำจัดกลิ่นตัวแรงด้วยเทคนิคทางการแพทย์จะมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี คือ Fractional Microneedle RF ลดต่อมเหงื่อใต้วงแขน ด้วยคลื่น RF (Radio Frequency) และ Miradry เทคนิคใหม่ลดกลิ่นตัว กำจัดต่อมเหงื่อใต้วงแขนถาวร ทำครั้งเดียวเห็นผล

  • Fractional Microneedle RF

เป็นการใช้คลื่น RF (Radio Frequency) ซึ่งจะช่วยลดจำนวนต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ด้วยการสอดเส้นใยเลเซอร์ขนาดเล็กเข้าไปในผิวบริเวณรักแร้ ฝ่าเท้า พลังงานจากเลเซอร์จะทำให้เกิดความร้อนขึ้นในบริเวณต่อมเหงื่อทำให้จำนวนต่อมเหงื่อลดลงจากการทำลายด้วยความร้อนจากเลเซอร์เมื่อจำนวนต่อมเหงื่อลดลง เหงื่อจึงมีปริมาณน้อยลง เมื่อเหงื่อน้อยลง กลิ่นเหงื่อ จึงลดลงตามไปด้วย

  • MiraDry

การรักษาด้วยวิธีนี้เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุดที่จะรักษาให้ผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวและเหงื่อออกมากตลอด เป็นการรักษาเพื่อลดกลิ่นตัวและขนบริเวณใต้วงแขนและจุดซ่อนเร้นของสาว ๆ ที่มีกลิ่นเหม็นอับ ไปแบบตลอดกาล โดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นไมโครเวฟในการทำลายต่อมเหงื่อและต่อมกลิ่น ผลลัพธ์ที่ได้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับผู้ที่เข้ารับบริการ

กลิ่นตัวแรงเกิดจาก หลาย ๆ คนมักจะมองหาสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัวนี้ หากใครที่มีกลิ่นตัวนั้นจะสร้างปัญหาให้เขาเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้ขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิต เมื่อเกิดแล้วก็ต้องหาวิธีรักษาหากคนที่มีกลิ่นตัวที่ไม่รุนแรงมากก็อาจจะรักษาได้ด้วยตนเองด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายในยุคนี้ แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวที่รุนแรงมากการเข้าขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อการรักษาที่ยังยืนและยาวนาน

กลิ่นตัวแรง

กลิ่นตัว กลิ่นเหม็นที่มีผลมาจากต่อมเหงื่อที่ทำงานผิดปกติ ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ เท้า หรือขาหนีบ เมื่อเหงื่อสัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง จึงทำให้เกิดกลิ่นตัวแรง หรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเพศหญิง และชาย หากเกิดกับเพศชายนั้นจะมีกลิ่นตัวที่ค่อนข้างแรงมากกว่า เนื่องจากเพศชายจะมีต่อมเหงื่อที่เยอะกว่าและอาจจะเป็นการที่เพศชายรักษาความสะอาดได้ไม่ดีเท่ากับเพศหญิงนั่นเอง ซึ่งกลิ่นนั้นถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล ซึ่งกลิ่นตัวนั้นจะเป็นกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างขยับตัวออกห่าง อาจจะเป็นการแสดงออกด้วยการเอามือปิดจมูกจนทำให้ผู้ที่มีกลิ่นตัวขาดความมั่นใจ

กลิ่นตัวเกิดจากอะไร ?

กลิ่นตัวของคนเรานั้นจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ฝังตัวอยู่ตามบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ เท้า และขาหนีบ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับต่อมเหงื่อ 2 ต่อม คือ ต่อมเหงื่อ Eccrine และต่อมเหงื่อ Aprocrine ด้วยการย่อยสลายเหงื่อเอง จนทำให้เกิดเชื้อรา และกรดไขมัน เป็นเหตุให้เกิดความอับชื้น และเกิดกลิ่นตามมา

  • ต่อมเหงื่อ Eccrine หรือต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น เป็นต่อมเหงื่อที่ขับเหงื่อออกจากร่างกาย เพื่อช่วยลดอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นการออกกำลังกายการอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อน เป็นการขับเหงื่อทั่วทั้งร่างกาย ไม่เว้นแม้กระทั่งเท้า แต่ถึงเหงื่อจะออกมากเท่าไรก็ไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เว้นเสียแต่จะมีกลิ่นอับชื้นตามมา
  • ต่อมเหงื่อ Aprocrine หรือต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น เป็นต่อมเหงื่อที่ผลิตเหงื่อโดยตรง บริเวณข้อพับไม่ว่าจะเป็นรักแร้ ข้อพับขา ข้อมือ ท้ายทอย อวัยวะเพศ โดยเหงื่อในส่วนนี้จะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีน จึงทำให้เกิดปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย และเกิดเป็นกลิ่นตัวขึ้นมา ยิ่งทานอาหารที่มีกลิ่นจัด ๆ ก็จะพบว่ากลิ่นตัวในวันนั้น ๆ จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

และปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวนั้นก็จะมาจากปัจจัยเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นในด้านเชื้อชาติ ซึ่งจะพบได้จากชาวยุโรปและชาวอินเดียที่จะมีกลิ่นตัวแรงมากกว่าชาวเอเชีย และคนที่มีผิวสีจะมีกลิ่นตัวแรงกว่าคนผิวขาว เนื่องจากมีพันธุกรรมที่เหงื่อจากต่อมเหงื่อของคนผิวสี มีความรุนแรงกว่าคนผิวขาว อาหารก็มีส่วนที่จะทำให้เกิดกลิ่น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเผ็ดจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด อาหารที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศเยอะ ๆ หรือเครื่องเทศกลิ่นแรง ในส่วนของฮอร์โมนก็มีส่วนสำคัญซึ่งช่วงวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ที่มีผลต่อการเกิดกลิ่นตัวได้มาก ซึ่งสาเหตุนี้จะมีน้อยลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น และสุดท้ายสภาพอากาศที่มีอากาศร้อน หรือร้อนชื้น ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้น และเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย และรุนแรง

เทคนิคในการรักษากลิ่นตัวมีอะไรบ้าง ?

  • การออกกำลังกายจะทำให้มีเหงื่อออกมาก ดังนั้นหลังออกกำลังกายจะต้องอาบน้ำสระผมให้สะอาด
  • ควรอาบน้ำและใช้สบู่ที่ลดกลิ่นกายและควรอาบน้ำวันละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้กลิ่นเหงื่อหมักหมมในร่างกาย
  • ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าโปร่ง เนื่องจากเหงื่อและกลิ่นตัวจะแปรผันตามเสื้อผ้าที่ใช้ ยิ่งหนา ก็จะยิ่งอับและยิ่งชื้นขึ้น
  • หมั่นกำจัดขนใต้วงแขน ยิ่งมีขนมากยิ่งเสี่ยงต่อการสะสมของแบคทีเรียมาก
  • ไม่แนะนำให้ใช้กลิ่นน้ำหอมแบบผสม เช่นหากใช้โรลออนที่มีกลิ่น ก็ไม่ควรใช้น้ำหอม เพราะกลิ่นจะตีกันได้
  • ในกรณีที่ชอบใช้น้ำหอมหากไม่ต้องการให้กลิ่นตีกับน้ำหอมแนะนำให้ใช้สารส้ม นอกจากจะลดกลิ่นไม่พึงประสงค์แล้ว กลิ่นยังไม่ตีกับน้ำหอมด้วย
  • แนะนำให้พกทิชชูเปียก เมื่อเหงื่อออกมากให้ใช้ทิชชูเปียกเช็ด
  • ในขณะที่อาบน้ำแนะนำให้ทำการสครับผิวเพื่อขจัดขี้ไคล และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว รวมถึงกำจัดแบคทีเรียบางส่วนออกจากผิว ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
  • การทำเลเซอร์กำจัดกลิ่น จะเป็นการกำจัดกลิ่นแบบถาวรด้วยเทคโนโลยี miradry ถือได้ว่าเป็นทางออกที่ดีวิธีหนึ่ง เนื่องจากเป็นการทำลายต่อมเหงื่อและต่อมกลิ่นบริเวณรักแร้โดยเฉพาะ เรียกได้ว่าเสียเงินเพียงแค่ครั้งเดียวแต่มีความคุ้มสุด ๆ
  • การฉีดโบท็อก แนะนำให้เข้ารับคำปรึกษากับแพทย์ผิวหนังหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อทำการฉีดโบท็อกซ์ลดเหงื่อ แต่จะต้องฉีดซ้ำเรื่อย ๆ ทุก 3 – 6 เดือน ซึ่งมีราคาทำต่อครั้งค่อนข้างสูง

Miradry หนึ่งในเทคนิคทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษาให้กับผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวแรงและเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นเครื่องที่นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้สำหรับการรักษาเพื่อช่วยลดเหงื่อลดกลิ่นตัวและขนบริเวณใต้วงแขนและจุดซ่อนเร้นของสาว ๆ ที่มีกลิ่นเหม็นอับ เป็นเครื่องที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือคลื่นไมโครเวฟในการทำลายต่อมเหงื่อและต่อมกลิ่น โดยส่วนใหญ่แล้วกว่า 90% ของคนไข้ที่เข้ามาทำจะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจ ผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์จะต้องมีปัญหาเหงื่อออกมากทำให้มีกลิ่นตัวแรง ผู้ที่แพ้โรลออนหรือสารเคมีอื่น ๆ ผู้ที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณรักแร้ ผู้ที่เคยทำการรักษาด้วยวิธีการฉีดสารระงับกลิ่นตัวบางประเภทมาก่อน แต่ต้องการให้เห็นผลในระยะยาว และสำหรับสาว ๆ ที่มีกลิ่นที่บริเวณอวัยวะเพศมีกลิ่นอับ

โบท็อกกำจัดเหงื่อและกลิ่นรักแร้ หลังทำการฉีดโบท็อกซ์เพื่อกำจัดเหงื่อและกลิ่นรักแร้จะเริ่มเห็นผลประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ และผลการรักษานั้นจะอยู่ได้ประมาณ 6 – 8 เดือน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ในการทำโบท็อกนั้นจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเหงื่อและกลิ่นตัวได้ถาวร เนื่องจากไม่ได้ไปทำลายต่อมเหงื่อ หรือต่อมกลิ่นแต่อย่างใด ดังนั้น การทำโบท็อกจะช่วยได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะสลายไปเองตามเวลา ดังนั้น จึงต้องมีการไปฉีดซ้ำเพื่อกำจัดเหงื่อและกลิ่นรักแร้อยู่เรื่อย ๆ และผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดโบท็อกเพื่อกำจัดกลิ่นตัวนั้นจะเป็นผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีประวัติแพ้ Albumin Botulinum และหญิงมีครรภ์ที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร

กลิ่นตัวแรง สิ่งที่ใครหลาย ๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ดังนั้นจึงต้องพยายามหาวิธีที่จะรักษาตัวเองไม่ให้เกิดกลิ่นตัวไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษาความสะอาด การดูและในเรื่องของสุขอนามัย รวมไปถึงหากเป็นมาก ๆ อาจต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ให้ช่วยทำการรักษา ซึ่งผู้เข้ารับการรักษานั้นจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาล ซึ่งจะต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะต้องพร้อมให้บริการและให้คำปรึกษาที่ดีทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง

กลิ่นตัวแรงทําไงดี

กลิ่นตัว กลิ่นที่ใครหลายคนไม่ปรารถนาให้เกิด ซึ่งแต่ละคนจะมีกลิ่นตัวที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนกันตั้งแต่กลิ่นที่เหม็นอ่อน ๆ ไปจนถึงกลิ่นที่เหม็นจนฉุน ซึ่งหากมีกลิ่นตัวแรงทำไงดีส่วนมากแล้วผู้ที่มีกลิ่นตัวมักจะเกิดจากบริเวณศีรษะ ท้ายทอย รักแร้ ขาหนีบ ที่เป็นส่วนข้อพับต่าง ๆ และในบางรายอาจเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ การเกิดกลิ่นตัวนั้น เกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ฝังตัวอยู่ตามบริเวณที่ได้กล่าวมาแล้วไปทำปฏิกิริยากับต่อมเหงื่อด้วยการย่อยสลายเหงื่อเองจนทำให้เกิดเชื้อราและกรดไขมัน เป็นเหตุให้เกิดความอับชื้นและเกิดกลิ่นตามมา ซึ่งจะพบผู้ที่มีกลิ่นตัวได้จากเพศชายมากกว่าเพศหญิง เนื่องจากในเพศชายจะมีการผลิตต่อมเหงื่อที่ค่อนข้างจะเยอะกว่า

กลิ่นตัวเกิดจากอะไร ?

  • ต่อมเหงื่อ ปกติแล้วร่างกายของคนเราจะมีต่อมเหงื่ออยู่ด้วยกัน 2 ต่อมคือ ต่อม eccrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อชนิดที่ไม่มีกลิ่น มักจะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เหงื่อชนิดนี้จะถูกขับออกมาเมื่อทำกิจกรรมหนัก ๆ หรืออยู่ในภาวะอากาศร้อน ทั้งนี้ ก็เพื่อช่วยรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ ต่อมาจะเป็นต่อม apocrine ซึ่งเป็นต่อมเหงื่อที่มีกลิ่น ซึ่งมักจะกระจายตัวอยู่บางแห่งของร่างกาย โดยเฉพาะตามรูขุมขนบนหนังศีรษะที่จะมีมากที่สุด รองลงมาคือ ตามรักแร้ ขาหนีบ ก้น และแผ่นหลัง เหงื่อชนิดนี้จะมีส่วนผสมของไขมันอยู่มาก นั่นทำให้เวลาเหงื่อชนิดนี้ออกมาก็จะเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ ปกติแล้วร่างกายของเพศหญิงจะมีต่อมเหงื่อที่มากกว่าเพศชาย ซึ่งต่อมเหงื่อในเพศชายจะถูกขับออกมามากกว่าต่อมเหงื่อของเพศหญิง
  • ฮอร์โมน ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงของวัยรุ่นที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก จึงอาจทำให้เกิดกลิ่นตัวขึ้นได้
  • อารมณ์ ซึ่งหลายคนจะไม่รู้ว่าอารมณ์มีส่วนที่จะทำให้เกิดกลิ่นตัวไม่พึงประสงค์ได้ ทำให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ ในบางรายจะมีเหงื่อออกมากก่อนที่จะเข้าสอบ เข้าสัมภาษณ์งาน หรือทำภารกิจสำคัญ ๆ บางอย่าง นั่นเป็นเพราะเขาเกิดความเครียดและมีความกดดัน จึงทำให้ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามาก และยิ่งเหงื่อออกมามากเท่าไรก็จะพลอยส่งกลิ่นรบกวนคนรอบข้างมากตามไปด้วย
  • เกิดจากพันธุกรรมหรือภาวะผิดปกติของร่างกายที่จะทำให้เหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่บกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ ทำให้ร่างกายสร้างเคมีบางชนิดที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ
  • อาหารบางชนิด ส่วนใหญ่แล้วอาหารที่มีเครื่องเทศและอาหารที่มีโคลีนสูงไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ กระเทียม หัวหอม แฮม หรือปลาทูน่า และยังรวมไปถึงอาหารที่มีรสจัดล้วนทำให้เกิดกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ได้ เพราะทำให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณใต้วงแขน และที่สำคัญยังก่อให้เกิดสารตกค้างในลำไส้ ทำให้เหงื่อมีกลิ่นเฉพาะตัวได้อีกด้วย ซึ่งคนที่รับประทานอาหารจำพวกนี้เยอะก็จะมีกลิ่นตัวแรงมากเป็นพิเศษ
  • ทำความสะอาดมากเกินไป ใครจะไปคิดว่าการทำความสะอาดที่มากเกินไปนั้นจะทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ซึ่งผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงทำไงดีอาจจะใช้สบู่ต้านแบคทีเรียหรือใช้สครับถูเพื่อขจัดสิ่งสกปรกนานเกินไป และบางคนถึงขนาดใช้แอลกอฮอล์ขัดถูซ้ำอีกที นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวแห้งขึ้นได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายต้องขับเหงื่อให้มากยิ่งขึ้นเพื่อมาต่อสู้ เนื่องจากร่างกายขาดความชุ่มชื้นมากเกินไปนั่นเอง
  • ยาบางชนิด ที่จะทำให้มีผลข้างเคียงทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ไม่ว่าจะเป็นยาทารักษาสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide
  • เสื้อผ้า หากเป็นเนื้อผ้าที่มีความหนาจะทำให้ร่างกายระบายเหงื่อได้ช้าและทำให้เกิดความอับชื้นส่งผลทำให้เกิดกลิ่นตัวได้
  • สภาพอากาศ เนื่องจากบ้านเรามีสภาพอากาศที่ร้อนหรือร้อนชื้น จนทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ผิวหนังเพิ่มจำนวนมากขึ้นเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้น
  • โรคบางอย่างที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดเหงื่อออกมากจนเกิดกลิ่นตัวได้ เช่น โรคทางสมอง โรคหัวใจ วัณโรค ไทรอยด์ คอหอยพอก โรคตับ โรคไต หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน

แก้ปัญหากลิ่นตัวด้วยเทคนิคทางการแพทย์

ปัญหากลิ่นตัวปัญหาที่ใครหลาย ๆ คนไม่อยากให้เจอกับตัวเองเนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก เพราะการมีกลิ่นตัวทำให้สูญเสียความมั่นใจ ซึ่งทุกคนที่มีปัญหากลิ่นตัวต่างก็ต้องการที่จะแก้ปัญหาระยะยาวที่ไม่ใช่พ้นไปในไม่กี่ชั่วโมงก็กลับมาเป็นอีก และต้องแก้ไขซ้ำ ๆ ซึ่งปัจจุบันนี้จะมีวิธีแก้ไขปัญหากลิ่นตัวที่สามารถแก้ไขได้ในระยะยาวไม่ว่าจะเป็น การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือการผ่าตัดต่อมกลิ่น แต่ทางการแพทย์ก็ยังได้คิดค้นวิธีใหม่ ๆ ขึ้นมาซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดทำให้มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถการแก้ปัญหากลิ่นตัว และเหงื่อให้มีผลลัพธ์ระยะยาว ที่มีชื่อว่า miraDry ซึ่งเป็นเลเซอร์สำหรับกำจัดต่อมกลิ่น ต่อมเหงื่อ รวมถึงรากขนบางส่วน เรียกได้ว่าสามารถกำจัดปัญหากลิ่นตัวจากต้นเหตุของปัญหาเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังให้ผลลัพธ์ที่มั่นคง และระยะยาว แถมยังไม่ต้องผ่าตัด ไม่เจ็บ และไม่ต้องพักฟื้นนานอีกด้วย

กลิ่นตัวแรงทำไงดี ทำไมต้องทำ miradry

  • ใช้ระยะเวลาในการทำไม่นาน โดยจะเริ่มจากแพทย์จะทำการวัดขนาดของต่อมเหงื่อ ทำการวาดลายเพื่อกำหนดตำแหน่งที่ต้องยิงคลื่น ฉีดยาชา แล้วทำการยิงให้ทั่วทุกจุดและครบถ้วนทั้งสองข้าง ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่เกินชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
  • การทำ miradry ผู้เข้ารับบริการจะไม่ต้องเจ็บตัวและไม่มีบาดแผลใด ๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะเป็นการยิงคลื่นเข้าสู่ชั้นผิวหนังไม่มีการใช้มีดไม่มีการเสียเลือดและไม่มีบาดแผลให้ต้องไปดูแลรักษาต่อหลังการทำ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
  • ผู้เข้ารับบริการไม่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ลักษณะการทำจะคล้ายกับการยิงเลเซอร์ ไม่จำเป็นต้องงดยา งดอาหาร หรืออื่น ๆ เช่นเดียวกับการผ่าตัด
  • การทำ miradry นั้นจะเป็นการรักษาที่ง่ายที่สุดเป็นการรักษากลิ่นตัวแรงแบบที่เห็นผลลัพธ์ในระยะยาว
  • มีความปลอดภัย เนื่องจากการทำ miradry จะไม่ก่อให้เกิดบาดแผลใด ๆ ทั้งสิ้นจึงตัดปัญหาในเรื่องของผลข้างเคียงออกไปได้เลย
  • หลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องระมัดระวังหรือมีข้อห้ามอะไรเป็นพิเศษ

กลิ่นตัวแรงทำไงดี กลิ่นตัวเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น เนื่องจากเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะสร้างปัญหาในการใช้ชีวิต เพราะทำให้ขาดความมั่นใจ จึงต้องหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองหมดปัญหาจากการเกิดกลิ่นตัวขึ้นมาได้ ซึ่งปัจจุบันนี้ทางการแพทย์ได้พยายามหาเทคนิคที่จะทำการรักษา ดังนั้นก่อนที่จะเข้ารับการรักษาผู้เข้ารับการรักษาจะต้องศึกษาข้อมูลให้ดีไม่ว่าจะเป็นสถานบริการ แพทย์ที่ให้การรักษาจะต้องมีความชำนาญทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวผู้เข้ารับบริการเอง

เสริมคางราคาเท่าไหร่

0

 

เสริมคาง เป็นการศัลยกรรมปรับแต่งรูปหน้าอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มีปัญหาหน้ามน หนไม่ได้รูป และอยากปรับแต่งรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้น และการเสริมคางก็สามารถทำให้สาว ๆ หนุ่มมีหน้าที่เรียวงามตามความต้องการได้ และที่สำหรับใครที่ต้องการเสริมคางแต่ไม่รู้จะไปเสริมที่ไหนดี และอยากรู้ว่าการเสริมคางราคาเท่าไหร่วันนี้เรามีคำตอบมาให้คุณ เพื่อให้คุณได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเสริมคางที่ไหนดี พร้อมแล้วเราไปดูรายละเอียดกันเลยค่ะ

อยากเสริมคางให้สวยเสริมที่ไหนดี

อยากเสริมคางให้สวยไปเสริมที่ไหนดี อยากเสริมคางให้สวยไม่ยากเลยคุณต้องเลือกเสริมคางกับคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้นค่ะ เพราะคงไม่มีที่ไหนดีไปกว่านี้แล้ว และหยุดคิดที่จะไปทำกับคลินิกเถื่อน เพราะหน้าคุณจะพังกว่าเดิม และไม่สามารถแก้ให้เป็นเหมือนเดิมได้ ทางที่ดีคิดให้ดีก่อนทำ และเลือกคลินิกที่ดีที่สุด และได้มาตรฐานที่สุด รับรองได้เลยว่าคุณจะมีหน้าที่สวยอย่างใจคุณต้องการ และการเลือกคลินิกที่ดีที่สุดก็เลือกไม่ยาก เรามีวิธีเลือกคลินิกเสริมคางมาแนะนำให้คุณเพื่อเป็นแนวทางในการเลือกคลินิกเสริมคางของคุณได้ง่ายขึ้นค่ะ

วิธีการเลือกคลินิกเสริมคาง

สำหรับการเลือกคลินิกเสริมคางนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิด วันนี้เรามีวิธีการเลือกคลินิกเสริมคางมาแนะนำ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกคลินิกของคุณได้ง่ายขึ้น พร้อมแล้วเราไปดูวิธีเลือกคลินิกเสริมคางกันเลยค่ะ

  1. การมีรีวิวเสริมคางให้ดูตลอด คลินิกไหนที่มีการรีวิวเสริมคางให้ดี ก็ได้ใจลูกค้าไปกว่าครึ่งแล้ว เพราะการรีวิวเป็นการสร้างให้คลินิกมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และหากได้ดูรีวิวจากผู้เข้ารับการรักษาจริงก็ยิ่งทำให้มีความน่าเชื่อถือและทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะได้ดูจากการรีวิว แต่อย่างไรก็ตามการดูรีวิวก็ต้องมีวิจารณญาณในการตัดสินใจด้วยนะคะ ดูนาน ๆ ศึกษาดี ๆ ถ้าคิดว่าศึกษาจนบรรลุแล้วก็ลุยเลยค่ะ
  2. เมื่อเลือกคลินิกได้แล้วก็ต้องศึกษาขอมูลของหมอให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะปัจจุบันมีการสร้างประวัติปลอมขึ้นมา ทางที่ดีขอดูใบประกอบวิชาชีพของหมอด้วย แต่ถ้าจะให้ดีจะต้องเป็นหมอที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางจะดีที่สุด แค่นี้เราก็มีคางที่เรียวสวยเป็นธรรมชาติแล้วค่ะ
  3. ราคาจะต้องสมเหตุสมผล เพราะราคาก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกคลินิก เพราะแต่ละคลินิกมีราคาที่แตกต่างกันออกไป เพราะด้วยวัสดุและตัวยานั้นมีมาตรฐานที่ต่างกัน ดังนั้นอย่าเห็นแก่ของถูกเด็ดขาด เพราะตัวยาที่ให้บริการอาจจะไม่ใช่ของแท้หรือมีมาตรฐาน 100 % บางคนเห็นว่าราคาไม่แพงก็รีบพุ่งเข้าใส่ ใครเป็นแบบนี้ต้องตั้งสติดี ๆ นะคะ
  4. คลินิกที่ดีจะต้องได้มาตรฐานตามกระทรวงสาธารณสุข เพราะคลินิกที่ได้มาตรฐานคือปัจจัยสำคัญอันดับหนึ่งของการเลือกคลินิกเสริมความงาม และอีกอย่างที่เราต้องดูก็คือ เราจะต้องดูให้ดีที่ว่าคลินิกนั้นมีเครื่องมือพื้นฐานทางการแพทย์พร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉินหรือไม่ เช่น เครื่องมือกู้ชีพ เครื่องวัดความดัน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เราในฐานะลูกค้าสามารถตรวจสอบได้โดยขอทางคลินิกดูเอกสารรับรองได้เลย
  5. คลินิกที่ดีจะต้องมีการบริการหลังกายขายให้กับลูกค้า เพราะทุกคลินิกจะต้องให้เราเซ็นเอกสารข้อตกลงก่อนรับบริการ ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดหลังเข้ารับการใช้บริการ หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งในข้อนี้เราควรดูว่าอยู่ในเงื่อนไขที่รับโดยไม่เอาเปรียบผู้ใช้บริการจนเกินไปหรือไม่ เป็นประโยชน์และมีการติดตามผลหรือเปล่า ถ้าอ่านจนครบแล้วเราพอใจก็เซ็นได้เลยค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีการเลือกคลินิกเสริมคางที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับการเลือกคลินิกของคุณได้ และการเสริมคางราคาเท่าไหร่นั้นก็ต้องสอบถามกับคลินิกเอาเอง เพราะคลินิกแต่ละคลินิกมีราคาการให้บริการที่ไม่เท่ากัน เนื่องด้วยอุปกรณ์ในการใช้ด้วย เพราะบางแห่งใช้ของดีที่มีราคาแพง อยากสวย อยากหล่อก็ต้องลงทุน อย่าคิดว่าแพง เพราะของถูกและดีไม่มีในโลก

ลดเหนียง ลดแก้ม

ลดเหนียง ลดแก้ม ไขมันในร่างกายของคนเราถ้ามีในปริมาณที่พอดีก็จะทำให้เรามีรูปร่างหน้าตาที่ดี แต่หากมีมากเกินไปก็จะทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันได้ ซึ่งเหนียงก็เช่นกัน เหนียง เกิดจากการสะสมของไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่มักจะไปสะสมอยู่ที่บริเวณใต้คางทำให้เกิดเป็นคาง 2 ชั้นขึ้นมา ในส่วนของแก้มนั้นเมื่อมีไขมันไปสะสมที่กระพุ้งแก้มมากขึ้นก็จะทำให้เกิดอาการแก้มยุ้ย แก้มย้วยมากเกินความต้องการ ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่า ทั้งสองสิ่งนี้เกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม การสะสมไขมันในแต่ละบุคคล หรือ ความหย่อนคล้อยของผิวหนัง และกล้ามเนื้อใต้คาง และแก้ม ทำให้มองเห็นไขมันสะสมในบริเวณใต้คางชัดกว่าบริเวณอื่น ๆ

อยากลดเหนียง ลดแก้ม ต้องทำไง

สาว ๆ หลายคนอาจมีความสงสัยกันว่าเหนียงและแก้มที่มีมากมายในตัวเรานั้นมันมาจากไหนทำอย่างไรจึงจะลดแก้มห้อย ๆ ย้อย ๆ ของเราออกไปได้ออกกำลังกายก็แล้ว ควบคุมอาหาร ควบคุมน้ำหนักก็แล้วแต่เหนียงกับแก้มก็ไม่หายไปไหนในขณะที่ไขมันส่วนอื่น ๆ ในร่างกายลดลงแต่แก้มกับเหนียงก็ยังอยู่ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับเหนียงและแก้มกันก่อนดีกว่าเพื่อที่ว่าเมื่อเราได้รู้จักแล้วจะได้จัดการกับมันได้ถูก

เหนียงและแก้มนั้นเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม การสะสมไขมันของแต่ละบุคคลหรือเกิดจากความหย่อนคล้อยของผิวหนังและกล้ามเนื้อใต้คางและแก้มทำให้มองเห็นไขมันสะสมบริเวณใต้คางที่ชัดกว่าบริเวณอื่น เหนียงเกิดจากการที่ไขมันในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปสะสมอยู่ที่ใต้คาง ทำให้เกิดเป็นคางสองชั้น หรือที่เรียกว่า เหนียงนั่นเอง ส่วน แก้ม บางคนนอกจากมีเหนียงแล้ว ยังมีไขมันสะสมที่กระพุ้งแก้มเพิ่ม ทำให้แก้มยุ้ย แก้มย้วยมากเกินความต้องการนั่นเอง

ลดเหนียง ลดแก้ม มีวิธีขจัดไขมันส่วนเกิน ดังนี้

  • บริหารกล้ามเนื้อใต้คาง
  • หมั่นออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อใต้คางให้มีความแข็งแรงเพื่อที่กล้ามเนื้อส่วนนี้จะได้พยุงไขมันบริเวณใต้คางได้ ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณส่วนนี้บ่อย ๆ จะทำให้ไขมันที่สะสมสลายไปได้ ซึ่งท่าบริหารกล้ามเนื้อใต้คางจะเป็นดังนี้
  • ท่ายืดคาง ให้ท่านเงยหน้ามองเพดานให้ได้มากที่สุด แล้วยืดปาก ทำท่าปากจู๋ โดยให้ท่านทำค้างไว้ประมาณ 10 – 15 วินาที จะรู้สึกตึงที่บริเวณใต้คางเล็กน้อย ทำซ้ำๆ ทุกวัน หรือทุกครั้งที่นึกขึ้นได้ ก็จะช่วยให้กล้ามเนื้อใต้คางได้ทำงาน และลดไขมันสะสมบริเวณนั้นด้วย
  • ท่ายืดคอ ท่านี้ให้ดันลิ้นแตะกับเพดานปากให้ได้มากที่สุด ทำค้างไว้ประมาณ 5 – 10 วินาที คลายออก และทำซ้ำ 2 – 3 รอบต่อครั้ง จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อช่วงคอ และใต้คางให้กระชับขึ้น
  • ออกกำลังกายใบหน้า

การออกกำลังกายใบหน้าจะช่วยให้ใบหน้ามีความกระชับ ลดการหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ ลดไขมัน ลดแก้ม ที่เป็นส่วนเกินบนใบหน้าที่เราไม่ต้องการ ซึ่งการออกกำลังกายใบหน้าก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

  • การนวดแก้ม ให้ทำหลังอาบน้ำก่อนที่จะทาครีมบำรุงใบหน้า โดยให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นวดคลึงบริเวณแก้มทั้งสองข้าง โดยนวดวนขึ้นช้าๆ ประมาณ 10 – 15 วินาที ก็จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ไม่ให้หย่อนคล้อยได้
  • บริหารใบหน้าขณะทาครีมเพื่อเป็นการกระชับใบหน้าขณะทาครีมให้ท่านทาครีมพร้อมกับนวดใบหน้าโดยทำการนวดหน้า วนขึ้นไปยังโหนกแก้ม เพื่อกระชับใบหน้า ลดการหย่อนคล้อย และช่วยลดไขมันสะสมบริเวณแก้มได้ด้วย
  • คุมอาหาร

เมื่อทำการออกกำลังกายเพื่อเป็นการลดไขมันสะสมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแล้ว การควบคุมอาหารก็สำคัญไม่น้อย หากท่านต้องการลดเหนียงควรลดอาหารจำพวกที่ให้ไขมันสูงและควรหลีกเลี่ยงการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเกินความต้องการของร่างกาย ลดแป้ง น้ำตาล เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายนำไขมันสะสมในส่วนต่างๆ มาใช้ให้หมดไป และไม่สะสมไขมัน และแป้งเข้าไปเพิ่มอีก

  • ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าช่วย

ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จะช่วยลดเหนียง ลดแก้มเกิดขึ้นมากมาย โดยก่อนที่จะเข้ารับบริการนั้นผู้เข้ารับบริการจะต้องศึกษาและปรึกษาแพทย์ให้ดีก่อนเพื่อที่จะได้ตัดสินใจเลือกถูก และเพื่อให้มีใบหน้าที่กลับมาเรียวสวย ไม่มีแก้มอูมหรือเหนียงที่ห้อยย้อยมากวนใจไม่ว่าจะเป็นการดูดไขมันที่แก้ การผ่าตัดกระพุ้งไขมันกระพุ้งแก้ม ซึ่งการใช้เทคนิคทางการแพทย์เข้าช่วยลดแก้มลดเหนียงนั้นวิธีที่เห็นผลลัพธ์ได้ดีและอยู่ถาวรที่สุดนั้นคือการผ่าตัดลดไขมันกระพุ้งแก้ม แต่ก็จะต้องขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ทำการประเมินเองว่าผู้เข้ารับบริการควรใช้วิธีการลดเหนียงลดแก้มอย่างไรจึงจะเห็นผลถาวรและอยู่ได้ยาวนานที่สุด โดยที่แต่ละบุคคลก็จะใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไป

ลดเหนียง ลดแก้ม แก้มและเหนียงสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ก็เป็นไปไม่ได้เพราะเมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นสิ่งเหล่านี้จะมาตามอายุขัย และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาวิธีแก้ไขหรือลดไม่ให้เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อปรับรูปหน้าให้มีความกระชับเต่งตึงขึ้น ซึ่งหากอยากเห็นผลที่รวดเร็วคงต้องพึ่งพาการทำศัลยกรรม โดยที่ปัจจุบันนี้มีเทคนิคทางการแพทย์เกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นก่อนเข้ารับบริการผู้เข้ารับบริการควรเข้าขอรับคำปรึกษาเพื่อให้แพทย์ทำการประเมินว่าผู้เข้ารับบริการควรใช้วิธีใดในการปรับรูปหน้าทั้งเหนียงและแก้ม

 

 

 

รีวิวร้อยไหมหน้าเรียว pantip

0

ร้อยไหมในปัจจุบัน เป็นการศัลยกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะไม่มีบาดแผล เจ็บน้อย ทำแล้วสามารถใช้ชีวิตปกติได้ และในปัจจุบันก็มีรีวิวร้อยไหมหน้าเรียว pantip ให้เราได้เลือกดูมากมาย บางคนทำออกมาแล้วสวย ดูดี และที่สำคัญก็มีราคาที่ไม่แพง สาว ๆ ทุกคนสามารถจับต้องได้ และที่สำคัญทำมาแล้วสามารถเห็นผลได้ทันทีอีกด้วย จึงทำให้การร้อยไหมได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

ใครบ้างที่ควรร้อยไหม

การร้อยไหมไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ทุกคน คนที่สามารถทำการร้อยไหมได้นั้นจะต้องมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป เนื่องจากผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อยไม่เต่งตึง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหลวม ไม่แน่น จนหย่อนคล้อยในที่สุด หรือไม่ได้บำรุงใบหน้าดีเท่าที่ควร อาจทำให้หน้าไม่กระชับเท่าที่ควร ซึ่งการร้อยไหมเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้

  • กรอบหน้าไม่ชัดเจน
  • แก้มพอง มีกระเปาะแก้ม
  • ผิวหน้าหย่อนคล้อย

ร้อยไหมหน้าเรียวสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน

ร้อยไหมจะอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ร้อยโดยไหมที่ใช้ร้อยมี 2 ชนิดดังนี้

  1. ร้อยไหมก้าง

การร้อยไหมก้างหลังการร้อยไหมจะสามารถเห็นผลทันที 50% และจะเห็นผลที่ชัดเจนมากขึ้นเมื่อไหมละลายหมดที่ 1-3 เดือน และการร้อยไหมก้างแบบทั่วไปสามารถอยู่ได้นาน 1 ปี แต่หากเลือกร้อยไหมก้างแบบ Diamond จะสามารถอยู่ได้นานตั้งแต่ 2-5 ปี ซึ่งทำให้ลดอัตราการร้อยซ้ำได้

  1. ร้อยไหมเรียบ

ร้อยไหมเรียบจะสามารถเห็นผลการร้อยไมทันทีหลังทำ และจะเห็นผลที่ชัดเจนขึ้นเมื่อไหมละลายหมดประมาณ 1-2 เดือน

การร้อยไหมหากต้องการให้การร้อยไหมได้ผลลัพธ์ที่ดี และตามที่คุณต้องการก็ควรเลือกไหมที่ดีที่สุด และการร้อยไหมแต่ละแบบก็จะมีราคาที่แตกต่างกัน หากต้องการจะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี ก็ให้เลือดไหมที่ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

เมื่อต้องการร้อยไหมต้องเตรียมตัวก่อนร้อยไหมอย่างไร

  • ก่อนการร้อยไหมคนไขจะต้องงดยาทุกประเภทที่มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือดและการแข็งตัวของเลือด อย่างเช่น ยาแอสไพริน อาหารเสริมจำพวกวิตามินอี ฯลฯ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ก่อนการร้อยไหมหน้าเรียว
  • คนไขที่จะเข้ารับการร้อยไหมจะต้องไม่มีโรคประจำตัว ไม่มีแผลคีลอยด์ และไม่แพ้ยา
  • การเข้ารับการร้อยไหมคนไข้จะต้องงดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างน้อย 2 วันก่อนทำ

ขั้นตอนการร้อยไหม

แพทย์จะทำการประเมินรูปหน้า เพื่อระบุจำนวนเส้นไหมที่จะทำการร้อยว่าจะต้องใช้เส้นไหมกี่เส้น จากนั้นจะต้องทำการเตรียมผิวให้สะอาด 100% ด้วยการ Cleansing ล้างเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนให้เรียบร้อย หลังจากนั้นจะทายาชาบริเวณที่ต้องการยกกระชับ ทิ้งไว้ประมาณ 30-45 นาที จึงเช็ดออกให้สะอาด พร้อมเข้าสู่ขั้นตอนการฆ่าเชื้อทำความสะอาดแบบครบวงจรอีกครั้งหนึ่ง แพทย์จะทำการฉีดยาชาบล็อกเพิ่มให้อีกรอบหนึ่งเพื่อป้องกันคนไข้เจ็บ รอยาชาออกฤทธิ์ประมาณ 30 วินาที ก็เริ่มเข้าสู่ ขั้นตอนการร้อยไหม

แพทย์จะนำเส้นไหมที่อยู่ปลายเข็มเข้าไปยึดเนื้อเยื่อของผิว โดยจะร้อยไหมแบบเป็นมิติ โดยพิจารณาจากโครงสร้างหน้าขงคนไข้เป็นหลัก และทำการร้อยไหมโดยใช้เวลาในการร้อยไหมเพียง 30-50 นาที หลังจากที่ร้อยไหมเสร็จแพทย์จะประคบเย็นบริเวณที่ร้อยไหมให้กับคนไข้ทันที เพื่อป้องกันอาการบวม และหลังทำสามารถกลับบ้านได้ทันที โดยไม่ต้องพักฟื้น เมื่อร้อยไหมเสร็จจะมีอาการบวมเกิดขึ้นเป็นเวลา 4-7 วันและอาการบวมก็จะค่อย ๆ หายไป และใบหน้าจะเข้ารูปประมาณ 1-2 เดือน เมื่อกลับบ้านหากมีอาการไม่ปกติควรรีบมาพบแพทย์ทันที

หลังจากร้อยไหมมาแล้วควรดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมอย่างไร

หลังจาการร้อนไหมมาแล้วคนไข้จะต้องดูแลตัวเองหลังการร้อยไหมอย่างเคร่งครัด และหลังการร้อยไหมคนไข้จะต้องดูแลตัวเองดังนี้

  1. ร้อยไหมมาแล้วคนไข้ห้าม อ้าปากกว้าง

เมื่อร้อยไหมมาแล้ว ไหมที่ร้อยจะรั้งและดึงผิวไว้ ดังนั้นคนไข้ไม่ควรอ้าปากกว้าง เพราะจะทำให้ไหมที่ร้อยหลุดได้ และเมื่อร้อยไหมมาจะมีอาการตึงบริเวณใบหน้า ซึ่งอาการดังกล่าวเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นหลังจากการร้อยไหม นอกจากนี้ จำนวนเส้นไหมที่ใช้ในการร้อยก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะหากใช้ไหมเยอะในการร้อย อาจจะเกิดอาการตึง ได้มากกว่า ร้อยด้วยไหมจำนวนน้อย โดยอาการดังกล่าวจะเป็นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเคสของแต่ละบุคคล

  1. หลังร้อยไหมมาแล้ว ห้ามทำเลเซอร์

หลังจาการร้อยไหมมาห้ามทำเลเซอร์หรือหัตถการใด ๆ ทั้งสิ้นบนใบหน้าประมาณ 2 อาทิตย์ เพราะความร้อนจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบ และทำให้ไหมที่ร้อยเคลื่อนที่ได้

  1. หลังร้อยไหมมาแล้ว ห้ามนวดหน้าเด็ดขาด

หลังร้อยไหมมาแล้วห้ามนวดหน้าแรง ๆ เด็ดขาด ควรเว้นระยะในการนวดหน้าประมาร 2 เดือน เพราะหากนวดหน้าอาจจะทำให้ผิวหนังบวมแดง หรือ ตุ่มตามแนวที่ร้อยไหมได้ รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ

  1. หลังร้อนไหมมาแล้ว ห้ามแต่งหน้า 4 ชั่วโมง

หลังจากร้อยไหมมาแล้วห้ามแต่หน้า เพราะอาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าไปที่แผลที่เราร้อยไหมได้ และอาจติดเชื้อได้ง่ายอยากแต่งหน้ารออีกวันถัดไปสามารถแต่งได้เต็มที่

  1. หลังร้อยไหมมาแล้ว ห้ามออกกำลังกาย

หลังจากร้อยไหมมาใหม่ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะจะทำให้กระทบกับแผลที่ร้อยไหมมาอาจจะทำให้แผลบวมมากขึ้นกว่าเดิม จะออกกำลังกายได้ก็ต่อเมื่ออาการปวดบวมจะทุเลาลง

  1. หลังจากร้อยไหมมาแล้ว ห้ามดื่มแอลกอฮอล์

งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหลังการร้อยไหมมา เพราะแอลกอฮอล์มีส่วนกระตุ้นให้ผิวอักเสบได้ เพราะแอลกอฮอล์จัดว่าเป็นอาหารประเภทหมักดอง ควรงดเป็นเวลา 2 อาทิตย์

7.หลังจากร้อยไหมมาแล้ว ห้ามแกะเกา บริเวณแผล

หลังจากที่ร้อยไหมมาห้ามแกะเกาบริเวณแผลเด็ดขาด เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ทางที่ดีหลังร้อยไหมมาควรติดพาสเตอร์เพื่อป้องกันเชื้อโรค เมื่อผ่านไปหนึ่งวันสามารถแกะพลาสเตอร์ออกได้

การร้อยไหมหน้าเรียว เป็นการศัลยกรรมที่สามารถเห็นผลหลังทำทันที และหากใครต้องการที่จะทำการร้อยไหม สามารถขอคำปรึกษาจากคลินิกเสริมความงามได้ เพราะทางคลินิกมีการ รีวิวร้อยไหมหน้าเรียว pantip ให้คุณได้ศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจร้อยไหม และหารร้อยไหมสามารถทำให้หน้าของคนไข้เรียวได้จริง ๆ และเป็นการศัลยกรรมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในเวลานี้อีกด้วย

เส้นเลือดขอดอันตรายไหม

มีหลายคนถามคำถามเข้ามาว่าเส้นเลือดขอดอันตรายไหม ขอตอบเลยว่าไม่อันตรายเท่าไหร่ หากรู้ว่าเป็นและรักษาทันไม่ปล่อยให้เรื้อรัง แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษาก็เป็นอันตรายได้เช่นกัน โดยรวมแล้วหากรู้ว่าเป็นแต่รักษาทันก็ไม่เป็นอันตราย ทางที่ดีหากรู้ว่าเป็นเส้นเลือดขอดรีบมารักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเส้นเลือดขอดโดยตรง เพราะแพทย์จะได้แนะนำวิธีดูแลตัวเองเมื่ออยู่ที่บ้าน เพราะเส้นเลือดขอดสามารถดูแลตัวเองได้หากเป็นไม่มากหรือเรื้อรังนั่นเอง ทางที่ดีรู้ว่าเป็นเส้นเลือดขอดแล้วรีบรักษาไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน

อาการของเส้นเลือดขอดเป็นอย่างไร

เส้นเลือดขอดจะไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น แต่สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองดังนี้

  • เส้นเลือดจะคดเคี้ยวและนูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด
  • เส้นเลือดจะไม่เป็นสีเขียวแต่จะกลายเป็นสีม่วงหรือสีฟ้าแทน
  • ปวดกล้ามเนื้อ ยกขาไม่ขึ้น หรือไม่มีแรง
  • มีอาการบวมและร้อนออกขาส่วนล่าง
  • ปวดเมื่อต้องยืนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ
  • มีเลือดออกมาจากเส้นเลือดขอด
  • มีผิวหนังอักเสบและมีอาการพุพองบริเวณผิวหนังใกล้กับข้อเท้า

ความรุนแรงของเส้นเลือดขอด

ความรุนแรงของเส้นเลือดขอดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับดังนี้

  1. เส้นเลือดขอดแบบฝอย (Spider Veins)

เป็นเส้นเลือดขอดที่สามารถมองเห็นได้ง่ายและอยู่ตื้นมาก จะเป็นเส้นเล็ก ๆ คล้ายใยแมงมุมมีขนาดเล็กสีม่วง หรือแดง เป็นเส้นเลือดขอดที่มีความรุนแรงน้อยที่สุด บางรายแทบไม่มีอาการเจ็บ ปวด หรือเมื่อยล้าบริเวณที่เป็น

  1. เส้นเลือดขอดขนาดกลาง (Reticular veins)

ลักษณะของเส้นเลือดขอดขนาดกลางจะมีเส้นเลือดโป่งพองออกมาไม่มาก แต่ก็สามารถสังเกตเห็นได้ชัด

  1. เส้นเลือดขอดโป่งพองขนาดใหญ่ (Varicose Veins)

เป็นเส้นเลือดที่มีรอยหยักและขดมีสีเขียวผสมสีม่วง ซึ่งสามารถสังเกตได้อย่างชัดเจน เพราะจะนูนขึ้นมาเป็นขด ๆ และเส้นเลือดขอดโป่งพองขนาดใหญ่จะมีอาการเมื่อยล้า เจ็บปวดบริเวณเส้นเลือดขอด ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นที่ต้องรักษา เพราะเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมาได้

การรักษาเส้นเลือดขอด

หากใครที่เป็นเส้นเลือดขอดแต่ไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษา แต่สำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการเส้นเลือดขอดก็ไม่ต้องรักษาเพราะอาการเส้นเลือดขอดที่เป็นอยู่จะค่อย ๆ ทุเลาลงเองภายใน  3-12 เดือนหลังจากการคลอดบุตรแล้ว และสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดขอดอาจป้องกันไม่ให้มีเส้นเลือดขอดเพิ่มขึ้นด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังต่อไปนี้

  • พยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลา และหมั่นออกกำลังทุกวัน เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในขา
  • ควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ในเกณฑ์ โดยการรับประทานอาหารให้พอดีในแต่ละมื้อ และควรรับประทานอาหารที่มีเกลือแต่น้อยเพื่อป้องกันอาการบวมจากการคั่งของน้ำได้
  • อย่าใส่รองเท้าส้นสูง และไม่ควรใส่เสื้อผ้าที่รัดรอบเอวเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่ปกติ
  • ยกขาขึ้นเหนือระดับหัวใจบ่อย ๆ หรือยกขาสูงเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หรือนอนวางขาบนหมอน 3-4 ใบ เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้อย่างปกติ
  • ไม่ควรนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ๆ ควรเป็นท่าบ่อย ๆ เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • ไม่ควรนั่งทับขาเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนไม่เป็นปกติ

และนี้เป็นการรักษาเบื้องต้นสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดขอดที่สามารถทำได้เองที่บ้าน และสำคัญควรสวมถุงน่องสำหรับการรักษาเส้นเลือดขอดทุกครั้งเพื่อช่วยบีบไล่ให้หลอดเลือดและกล้ามเนื้อขาพาเลือดเคลื่อนตัวกลับสู่หัวใจได้ดียิ่งขึ้น

อาหารที่ผู้ป่วยเส้นเลือดขอดควรรับประทาน

อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์

ผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์จะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง นอกจากนี้ยังป้องกันท้องผูกและท้องอืด ที่จะส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดบริเวณช่องท้องและขาต้องทำงานหนัก ควรรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารทุกวัน หลีกเลี่ยงการทานแป้งขัดขาว ข้าวขาว แล้วหันมาทานข้าวกล้องหรือขนมปังโฮลวีตที่มีไฟเบอร์สูงกว่า โดยเฉพาะข้าวสาลีที่อุดมไปด้วยรูตินซึ่งมีคุณสมบัติบำรุงเส้นเลือด

อาหารที่มีรูตินสูง

อาหารที่มีรูตินสูงช่วยเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้กับเส้นเลือดและเส้นเลือดฝอย ป้องกันการเสื่อมของเส้นเลือดจากการทำลายของอนุมูลอิสระ และบรรเทาอาการอักเสบ อาหารที่อุดมไปด้วยรูตินก็อย่างเช่น แอปเปิล (โดยเฉพาะส่วนเปลือก) องุ่น พีช ชาเขียว มะเขือเทศสด

อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามี ซี และ อี

การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซีและอี ช่วยป้องกันการเกิดลิ่มเลือด โดยเฉพาะวิตามิน อี ที่ช่วยคืนความยืดหยุ่นให้ผนังเส้นเลือด นอกจากนี้ วิตามิน ซี ยังช่วยรักษาปัญหาผิวที่เกิดขึ้นจากเส้นเลือดขอด เช่น รอยช้ำ คล้ำ แตกลาย แผลเป็น เลือกรับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว ฝรั่ง มะเขือป้อม ส้ม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่

สมุนไพรที่สามารถรักษาเส้นเลือดขอด

สมุนไพรที่สามารถรักษาเส้นเลือดขอดและเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นเลือด และเป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้ง่าย ๆ ตามบ้าน และสมุนไพรที่สามารถรักษาโรคเส้นเลือดขอดได้มีดังนี้

  1. ใบบัวบก ใบแปะก๊วย

มีสารไตรเตอพีนอยด์ (Triterpenoid) สามารถคั้นดื่มเป็นน้ำ หรือทานสดแกล้มกับมื้ออาหารได้เพราะใบบัวบก และใบแปะก๊วยสามารถสร้างความแข็งให้ผนังหลอดเลือดและลดเลือดคั่ง

  1. พริก

อุดมไปด้วยวิตามี ซี และฟลาโวนอยด์ สามารถป้องกันความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ และสามารถช่วยซ่อมแซมผนังเลือด และผลิตคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผนังเส้นเลือด

  1. ผักชี

ผักชีมีรูตินและวิตามิน ซี สูงมาก หาง่าย และสามารถรับประทานได้กับอาหารไทยทุกเมนู

อาหารที่คนเป็นเส้นเลือดขอดไม่ควรรับประทานหรือควรหลีกเลี่ยง

  1. แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ

เครื่องดื่มเหล่านี้ยับยั้งการดูดซึมออกซิเจนของเลือด ทำให้เส้นเลือดต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม

  1. น้ำตาลและเกลือ

ทำให้เลือดข้นและเกิดภาวะขาดน้ำ นอกจากนี้น้ำตาลยังถูกเก็บสะสมเป็นเซลล์ไขมัน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม เสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดขอดมากกว่าเดิม

  1. แป้งขาว ข้าวขัดสี

ไม่มีไฟเบอร์และทำให้ท้องผูก ทำให้ความดันโลหิตในช่องท้องสูงอยู่ตลอดเวลา เส้นเลือดที่ขาต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดกลับหัวใจ

เส้นเลือดขอดอันตรายไหม หากเป็นและรู้จักดูแลตัวเองและรีบรักษาอย่างถูกวิธีการเป็นเส้นเลือดขอดก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่ทุกคนคิด

ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ pantip

ฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ pantip เป็นการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่าการฉีดฟลเลอร์ปากกระจับ ไม่ต้องพักฟื้นนาน วันสองวันสามารถแต่งหน้าและไปทำงานได้เลย ซึ่งแตกต่างจากการทำศัลยกรรมตัดแต่งรูปปากสมัยก่อน เพราะการปรับรูปปากจะมีความสัมพันธ์กับเวลายิ้ม สามารถทำให้ลักษณะการยิ้มของเราเปลี่ยนแปลงไปได้ ช่วยเพิ่มความมั่นใจเวลาที่พูด ยิ้ม พบปะผู้คน ถ้าหากมีริมฝีปากที่อ่อนนุ่ม อิ่มเอิบ ไม่มีรอยแตกแห้ง ปากของเราก็จะดูสุขภาพดี ดูอ่อนเยาว์ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ จึงสามารถช่วยแก้ปัญหาปากเป็นร่อง ปากแห้ง ให้สวย อวบอิ่ม ชุ่มชื้น ขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับใบหน้าอีกด้วย

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ

  • ก่อนจะถึงวัดนัดฉีดฟิลเลอร์ 2 อาทิตย์คุณจะต้องหยุดการใช้ยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบทุกชนิดเพื่อป้องกันอาการฟกช้ำ
  • ก่อนฉีดฟิลเลอร์คุณควรงดทานวิตามินหรืออาหารเสริมทุกชนิด เป็นเวลา 2 อาทิตย์ เพราะการรับประทานอาหารเสริมและวิตามินจะทำให้เลือดไหลไม่หยุด
  • งดอาหารประเภทของหมักดอง สุรา ก่อนฉีดฟิลเลอร์เป็นเวลา 1-3 วัน
  • สุขภาพร่างกายจะต้องแข็งแรง ไม่เป็นโรค หากมีอาการไม่สู้ดีนักต้องปรึกษาหมอก่อนการฉีดฟิลเลอร์
  • ก่อนเข้าพบแพทย์จะต้องทำความสะอาดใบหน้าลบเครื่องสำอางออกให้หมด

ข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ

  1. เลือกฟิลเลอร์ที่ดีที่สุด

ฟิลเลอร์ที่คุณควรเลือกใช้คือ Hyaluronic acid (HA filler) เพราะถือเป็นฟิลเลอร์ที่ปลอดภัย และควรเลือกใช้ยี่ห้อที่ผ่าน อย. ไทย เท่านั้น กรณี หากฉีดผิดพลาด หรือไม่ชอบ ก็สามารถแก้ไขโดยฉีดสลายได้ หรือ ใช้ฟิลเลอร์ที่มาจากไขมันของเราเอง เนื่องจากว่าไม่เกิดการแพ้แน่นอน แต่ต้องทำโดยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ แต่ข้อเสียของไขมันคือ หากไม่ชอบจะแก้ยากกว่า HA filler และการฉีดต้องเผื่อปริมาณเยอะ เพราะไขมันมักติดหลังฉีดประมาณ 50%

  1. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้

การตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ นั้นก็คือ การฉีดฟิลเลอร์ปากเราจะเอารูปปากของคนนั้นคนนี้มาให้แพทย์ดู และจะเอาแบบนี้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะ ปากแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน รูปทรงเดิมของริมฝีปากเราไม่เหมือนกัน การฉีดที่จะได้ผลดี ดูธรรมชาติ ควรอิงกับรูปปากเดิมด้วย ใช้ปริมาณฟิลเลอร์ที่พอดี รูปทรงเป็นไปได้ เหมาะกับริมฝีปากตัวเอง

  1. การฉีดฟิลเลอร์อย่าฉีดเยอะเกินในครั้งเดียว

การฉีดฟิลเลอร์จะมีรอยแดงบวมจากรอยเข็ม และรอยบวมแดงนั้นจะเป็นอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ดังนั้น ไม่ควรฉีดเกิน 1-2 ml/ครั้ง ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยด้วย และหากยังไม่พอใจสามารถเติมในครั้งถัดไปได้

  1. ระวังปากเป็ด

การฉีดฟิลเลอร์เกินขนาดที่ปากจะรับไหว จะทำให้ปากผิดรูป เหมือนปากเป็ด ปากยื่น ปากล่างปากบนเท่ากัน ปากเจ่อบวม ดูไม่เป็นธรรมชาติ

  1. อยากได้ปากที่สวยจะต้องเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสม

ฟิลเลอร์ทุกชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ถ้าอยากได้ปากที่อวบอิ่มก็ต้องเลือกฟิลเลอร์เนื้อหนาหน่อย หรืออยากแก้ไขร่องริ้วรอยบนปากให้ดูไม่แห้งเหี่ยว แต่ไม่อยากได้ปากที่หนาขึ้น ต้องเลือกฟิลเลอร์เนื้อนิ่ม ดังนั้นก่อนฉีด ควรปรึกษาแพทย์ แจ้งจุดประสงค์ที่ต้องการได้จากการฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อจะได้เลือกใช้ฉีดฟิลเลอร์ที่ถูกต้อง เพื่อผลลัพธ์ที่สวยงาม มีปากได้รูปสวยอย่างที่ต้องการค่ะ

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับมีอะไรบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับไม่ได้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากอะไร แพทย์จะใช้เวลาในการฉีดเพียง30-40 นาทีเท่านั้น และในขณะที่ฉีดฟิลเลอร์อาจจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย เมื่อฉีดเสร็จแล้วแพทย์จะให้นอนพักสักครู่ เพื่อให้ฟิลเลอร์เซตตัว จากนั้นก็สามารถกลับบ้านหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ ทั้งนี้หลังจากฉีดบางคนอาจไม่เป็นอะไรเลย แต่บางคนอาจจะมีอาการปวด บวม หรือแดงเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ต้องตกใจ จะหายไปเองประมาณ 1-2 วันค่ะ

ฟิลเลอร์อยู่ได้นานแค่ไหน

การฉีดฟิลเลอร์จะอยู่ได้ไม่นาน แต่หากฉีดฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานก็สามารถอยู่ได้นาน 6 เดือนหรือ 1 ปีซึ่งสาร Hyaluronic Acid ชนิดนี้จะย่อยสลายได้เองตามกระบวนการของร่างกาย

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ

ผู้ที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์ก็คือผู้ที่มีอาการแพ้ง่าย หรือผู้ที่แพ้สาร Hyaluronic Acid ผู้ที่แพ้ยาชา ผู้ที่ทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด และเป็นคนเลือดออกง่าย รวมถึงคนที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่ก็ไม่ควร เพราะคนเหล่านี้มีความเสี่ยงไม่ปลอดภัยสูง จึงไม่ควรฉีดฟิลเลอร์เด็ดขาด

การฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับ pantip เป็นการทำสวยที่สาว ๆ ทุกคนต้องการ หากสาว ๆ คนไหนคิดจะฉีดฟิลเลอร์ก็ควรเลือกฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพเพื่อจะได้ปากกระจับที่คุณต้องการ อย่าคิดใช้ของถูกหรือของเกรดต่ำเด็ดขาด เพราะจะทำให้คุณเจ็บตัวและยังไม่ได้ปากกระจับอย่างที่คุณต้องการอีกด้วย

ข้อห้ามของการทำปากกระจับ

การทำปากกระจับ เป็นการศัลยกรรมอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากสาว ๆ เป็นจำนวนมาก และการทำปากกระจับเป็นการผ่าตัดตกแต่งลดเนื้อบริเวณริมฝีปากทั้งส่วนบนและล่างให้ได้รูปสวยงามรับกับใบหน้า ด้วยรูปทรงปากโค้งเรียวสวยคล้ายกับผลกระจับ ซึ่งกำลังได้รับความนิยม โดยแพทย์จะผ่าตัดตกแต่งริมฝีปากบนด้านซ้ายและขวาให้โค้งแหลมคล้ายถ้วยที่คว่ำไว้ และให้ทั้ง 2 ด้านโค้งต่ำลงบรรจบกันตรงกลาง ในขณะที่ริมฝีปากล่างจะถูกตัดแต่งเนื้อบางส่วนออกไปให้โค้งคล้ายรูปทรงสามเหลี่ยม หรือทำให้ริมฝีปากล่างบางลงและโค้งได้รูปรับกับริมฝีปากบน และการทำปากกระจับนั้นก็มีหลายแบบนอกจากการผ่าตัดก็จะมีการฉีดฟิลเลอร์ปากกระจับที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน และการทำปากกระจับนั้นก็จะมีข้อห้าม ของการทำปากกระจับ อยู่ แต่จะห้ามเรื่องใดนั้นวันนี้เรามีคำตอบ แต่ก่อนที่เราจะไปดูข้อห้าม นั้นเรามาดูขั้นตอนการทำปากกระจับว่ามีขั้นตอนการทำอย่างไรก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกทำปากกระจับง่ายขึ้น พร้อมแล้วเราไปดูขั้นตอนการทำปากกระจับกันเลย

ก่อนการทำปากกระจับต้องเตรียมตัวอย่างไร

ก่อนที่คุณคิดจะทำปากกระจับคุณจะต้องศึกษาข้อมูลการทำปากกระจับอย่างละเอียด โดยดูได้จากการรีวิว หรือปรึกษากับแพทย์ได้ถึงผลดี ผลเสีย ความเสี่ยง ค่าใช้จ่าย และการพักรักษาตัวหลังการผ่าตัด และผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ การรักษาในปัจจุบัน อาการป่วย การแพ้ยา และโรคประจำตัว เพื่อให้แพทย์สามารถแนะนำและวางแผนการผ่าตัดได้อย่างเหมาะสม

ขั้นตอนการทำปากกระจับ

เมื่อคุณปรึกษาคุณหมอถึงผลดี ผลเสีย ความเสี่ยง ค่าใช้จ่ายแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการผ่าตัดทำปากกระจับโดยขั้นตอนการผ่าตัดทำปากกระจับสามารถทำได้ดังนี้

  • ก่อนการผ่าตัดคุณหมอจะทำการวาดเส้นบนริมฝีปากเพื่อทำเครื่องหมายเนื้อส่วนที่ต้องผ่า
  • เมื่อทำการวาดรูปริมฝีปากแล้ว คุณหมอจะฉีดยาชาเฉพาะที่ในบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดในขณะทำการผ่าตัด โดยผู้ป่วยจะยังรู้สึกตัวในขณะที่ทำการผ่าตัด
  • เมื่อยาชาออกฤทธิ์คุณหมอจะทำการผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อส่วนด้านในของริมฝีปากออกไป
  • หากริมฝีปากของคนไข้ไม่เท่ากันหมอจะทำการตัดริมฝีปากด้านใดด้านหนึ่งออก เพื่อให้ริมฝีปากเท่ากันและได้รูปตามที่ต้องการ โดยหมอจะผ่าแผลเป็นรอยหยักเพื่อให้แผลสมานตัวได้ง่าย รวมทั้งช่วยป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น ในขั้นตอนนี้ แพทย์จะระวังไม่ให้ผ่าไปโดนเนื้อเยื่อซึ่งเป็นกล้ามเนื้อสำคัญที่ใช้ในการพูดและการเคลื่อนไหวของปาก และรอยแผลผ่าตัดที่เริ่มกรีดห่างจากมุมปากด้านในอย่างน้อย 5 มิลลิเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็นที่มุมปาก ซึ่งจะทำให้ปากตีบแคบลง และไม่ให้รอยแผลเป็นกลายเป็นที่สังเกตได้อย่างชัดเจน
  • หลังจากนั้นคุณหมอจะทำการเย็บปิดแผลให้ได้รูปร่างเป็นปากกระจับ โดยหมอจะเย็บปิดแผลด้วยปมที่แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้ด้ายหลุด และอาจเย็บแผลเป็นรูปฟันปลาในบางจุดเพื่อตกแต่งแผลและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นนูนไม่สม่ำเสมอกัน
  • เพราะว่าปากเป็นอวัยวะที่ต้องสัมผัสกับน้ำและความชื้นจากน้ำลาย และมีการขยับอยู่เสมอ แผลจากการผ่าตัดปากกระจับจึงต้องใช้เวลานานกว่าแผลจะดีขึ้นและสมานตัว ซึ่งจะเป็นเวลาประมาณ 7-9 วัน

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัดปากกระจับ

  • สามารถติดเชื้อได้ง่าย หากการดูแลรักษาไม่ถูกวิธี
  • แผลที่ผ่าตัดจะมีอาการปวดอยู่ตลอดเวลา หากได้รับการกระทบกระเทือนก็จะทำให้การปวดนั้นรุนแรงขึ้น
  • บริเวณแผลผ่าตัดอาจจะมีรอยนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
  • ริมฝีปากอาจจะไม่เท่ากัน ทั้งริมฝีปากบนกับล่าง หรือริมฝีปากกับใบหน้า
  • อาจจะเกิดถุงน้ำในช่องปากได้

การทำปากกระจับมีข้อห้าม ของการทำปากกระจับในการทำอย่างไรบ้าง

สำหรับข้อห้าม ของการทำปากกระจับ มีดังนี้

  • คนไข้ที่มีอาการปากบวมก่อนจะผ่าตัด จะไม่สามารถทำการผ่าตัดปากกระจับได้
  • มีการอักเสบในบริเวณฝีปากอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้การผ่าตัดยากขึ้น และอาจต้องผ่าตัดซ้ำหลายครั้งกว่าจะได้ผลการรักษาที่เป็นที่พอใจ
  • คนไข้ที่ไม่พร้อมจะทำการผ่าตัดหรือคนไข้มีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงไม่ควรผ่าตัด เพราะการผ่าตัดศัลยกรรมอาจส่งผลกระทบต่อสภาวะทางจิตใจของผู้ป่วยได้

และนี้ก็คือข้อห้าม ของการทำปากกระจับ ที่คุณจะต้องรู้ไว้หากคิดจะทำปากกระจับ คุณจะต้องไม่มีภาวะเหล่านี้อย่างเด็ดขาด หากคุณมีภาวะเหล่านี้รีบปรึกษาหมอแล้วทำการรักษาภาวะเหล่านี้ก่อนการผ่าตัดทำปากกระจับ เพื่อให้การทำปากกระจับของคุณได้ผลเร็ว และเห็นผลอย่างชัดเจน เพื่อให้คุณมีปากกระจับที่สวยงามได้รูปนั่นเอง

ทำปากกระจับ 

การทำปากกระจับ เป็นกระบวนการทำศัลยกรรมรอบ ๆ ริมฝีปาก ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เนื่องจากว่าสามารถปรับรูปหน้า สำหรับผู้ที่ไม่มีความพึงพอใจกับรูปปากของตนเอง ต้องการที่จะให้มีลักษณะบางลงหรือมองมีรูปทรงเยอะขึ้นเรื่อย ๆ  กระบวนการทำศัลยกรรมปากกระจับ ทำให้ได้รูปปากบาง อวบอิ่ม ทำให้มองอ่อนโยน น่าหลงใหล น่าชื่นชม มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น สวยขึ้น ยิ้มหวานขึ้น

เพราะเหตุใดจะต้องทำปากกระจับ ?

  • เสริมบุคลิก สร้างความเชื่อมั่นในรูปลักษณ์ของบุคคล
  • ปรับแต่งริมฝีปากที่ใหญ่หรือหนามาโดยกำเนิด
  • ตกแต่งให้ริมฝีปากบนรวมทั้งด้านล่างสมดุลเข้ารูปกัน
  • รักษาคนเจ็บสภาวะปากบวมใหญ่ (Macrocheilia) ที่มีริมฝีปากผิดรูปผิดร่างไป รวมทั้งอาจมีปัญหาในการพูด การทานอาหารร่วมด้วย ซึ่งเกิดขึ้นจากการติดเชื้อ การอักเสบ การได้รับบาดเจ็บกระทบกระเทือน ภาวะแทรกซ้อนหรือผลกระทบจากการดูแลรักษา การเกิดเนื้องอก รวมทั้งการป่วยด้วยโรคบางอย่าง อาทิเช่น กลุ่มอาการเมลเคอร์สสัน-โรเซ็นทาล (Melkersson-Rosenthal Syndrome) ซึ่งผู้เจ็บป่วยจะเป็นอัมพาตที่บริเวณใบหน้า โดยใบหน้าและก็ริมฝีปากจะมีลักษณะอาการบวมโต แล้วก็กลุ่มอาการแอชเชอร์ (Ascher Syndrome) ที่คนป่วยจะมีลักษณะอาการบวมน้ำรวมทั้งต่อมไทรอยด์โตรอบ ๆ เปลือกตารวมทั้งริมฝีปาก

วิธีการทำปากกระจับมีด้วยกันหลายวิธี อย่างเช่น

1.การฉีดฟิลเลอร์

เป็นวิธีที่ทำเป็นง่าย ไม่ต้องเตรียมความพร้อม ด้วยการฉีดสาร Hyaluronic Acid เข้าไปเพื่อเพิ่มแล้วก็ปรับขนาดแล้วก็โครงสร้างใต้ชั้นผิวหนัง ก็เลยช่วยเติมเต็มได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถเห็นผลหลังทำในทันที และก็เมื่อผ่านไปโดยประมาณ 1-2 อาทิตย์จะเข้าที่มากขึ้น โดยผลลัพธ์นี้จะดำรงอยู่ราว 6-8 เดือน และก็สามารถฉีดซ้ำได้ ซึ่งวิธีการแบบนี้ ศิลปินนักร้อง ดาราหนัง ส่วนมากนิยมทำกัน

2.การฉีดไขมัน

การฉีดไขมันสร้างขอบปาก ทำปากอวบอิ่ม ด้วยการดูดไขมันส่วนเกินจากร่างกายตนเอง นำมาฉีดริมฝีปากเพื่อมองเอิบอิ่ม มักดูดไขมันจาก บริเวณท้อง ใต้ท้องแขน แนวทางลักษณะนี้ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบ เพราะขั้นตอนยุ่งยาก เจ็บตัว 2 ครั้ง เป็นการดูดไขมันก่อน แล้วต่อจากนั้นเมื่อได้ปริมาณที่ต้องการ ก็เอามาฉีด แล้วก็ผลสรุปอยู่ได้ไม่นาน เพราะไขมันสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ

3.การผ่าตัดศัลยกรรมปากกระจับ

ศัลยกรรมปากกระจับ เป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมสูงที่สุด เพราะว่าสามารถแก้ปัญหาริมฝีปากที่ใหญ่หรือหนาให้เรียวงามได้ถูกจุด โดยหมอจะผ่าตัดตกแต่งลดเนื้อรอบ ๆ ริมฝีปากอีกทั้งส่วนบนและก็ด้านล่างให้ได้รูปงดงามรับกับบริเวณใบหน้า มีความหยักนูนสวยสดงดงาม โดยอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ ที่อยู่บนบริเวณใบหน้า ทั้งตา จมูก คิ้ว โหนกแก้ม หน้าผาก คาง เพื่อริมฝีปากบนแล้วก็ล่างได้สัดส่วนที่พอดี รับกับใบหน้า

จุดเด่นการทำปากกระจับ

  • ช่วยปากมีทรงที่สวยงามได้รูป ช่วยเพิ่มความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้กับเจ้าของใบหน้า
  • ตกแต่งริมฝีปากบน-ล่าง ให้ได้ทรงรับกัน สมดุลรับกับบริเวณใบหน้า
  • สามารถปรับปรุงแก้ไขรูปปากที่มีความผิดปกติจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือความผิดปกติแต่กำเนิดได้

จุดด้วยแนวทางการทำปากกระจับ

  • หลังผ่าตัดมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดแผลติดเชื้อโรค
  • อาจมีรอยแผลเป็นนูนรอบ ๆ แผลผ่าตัด

ข้อควรจะทราบก่อนทำปากกระจับ ศัลยกรรมปาก

  • ก่อนที่จะตัดสินใจทำปากกระจับ ควรศึกษาค้นคว้าข้อมูลอย่างละเอียด โดยสามารถขอคำแนะนำกับแพทย์ถึงผลในด้านดี ผลกระทบ ความเสี่ยง รวมทั้งผลลัพธ์ที่คาดหวังหลังการรักษา
  • เลือกหมอที่มีประสบการณ์และก็ความเชี่ยวชาญ เพราะเหตุว่าถ้าหากว่าหมอประเมินการรักษาไม่เหมาะสมอาจจะก่อให้ทรงปากไม่เป็นธรรมชาติ ปากเสียทรง หรือผลหลังการดูแลและรักษากลายเป็นคนยิ้มเห็นเหงือก รวมทั้งแก้ไขยาก
  • เลือกสถานพยาบาลที่เป็นที่รู้จักรวมทั้งเปิดให้บริการมายาวนาน รวมถึงสถานที่ให้บริการสะอาด เครื่องไม้เครื่องมือรักษามีความทันสมัย
  • ในกรณีต้องการฉีดสารเติมเต็มให้ปากอวบอิ่ม ไม่สมควรกระทำกับหมอกระเป๋าเนื่องจากว่ามีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะติดเชื้อ หรือปากผิดรูปทรงได้

ผลลัพธ์หลังการดูแลและรักษา

ในช่วงระยะเวลา 1 อาทิตย์แรก แผลจะมีลักษณะบวมแล้วจะค่อย ๆ ยุบลงเรื่อย ๆ จากนั้น ราว 2 อาทิตย์ ริมฝีปากของคุณจะบางลง เป็นทรงกระจับดูสวย

ปากกระจับยกมุมปาก

ปากกระจับยกมุมปากนั้นสามารถทำร่วมกับการศัลยกรรมปากบางหรือปากกระจับ เนื่องจากว่าจะช่วยทำให้ปากมีรูปทรงที่สวยงาม และก็มีรอยยิ้ม มองสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

คนที่เหมาะสมกับปากกระจับยกมุมปาก

เหมาะสมกับคนที่ต้องการปรับรูปปากให้เกิดความสวยงามเข้ารูป คนที่ต้องการที่จะให้รูปปากดูยกขึ้น เหมือนอมยิ้ม หรือคนที่มีปัญหารูปปากคว่ำ ดูหน้าบึ้ง ริมฝีปากตก ผิวหนังบริเวณมุมปากหย่อนยานคล้อย คนที่มีปัญหาริ้วรอย บริเวณมุมปาก โดยคนที่มีปัญหาบางครั้งก็อาจจะเป็นวัยหนุ่มวัยสาวหรือคนที่เริ่มแก่ ซึ่งปัญหาจะขึ้นกับแต่ละบุคคล

วิธีการศัลยกรรมยกมุมปาก

  • หมอจะทำประเมินรวมทั้งออกแบบมุมปากที่เหมาะสมกับใบหน้า พร้อมวาดรวมทั้งกำหนดขนาดผิวหนังรอบ ๆ มุมปากที่ต้องการตัดออก
  • ฉีดยาชารอบ ๆ ด้านในปากแล้วก็บริเวณมุมปาก แล้วทำการกรีดเปิดแผลเพื่อตัดหนังส่วนเกินออกตามรูปทรงที่วางแบบไว้
  • แล้วต่อจากนั้นใช้เทคนิคพิเศษเพื่อสลายกล้ามรอบ ๆ มุมปากด้านล่างที่เป็นตัวดึงมุมปากให้หย่อนยานคล้อยหรือตกลง เพื่อป้องกันการหย่อนยานคล้อยในอนาคตแล้วก็ทำให้มุมปากยกขึ้น
  • ทำการเย็บปิดรอยแผลในบริเวณที่กรีดตัดหนังออกด้วยไหมเส้นเล็กรวมทั้งเย็บปิดรอบ ๆ ภายนอกอีกชั้น เพื่อมองเห็นรอยเย็บน้อยที่สุด

ผลลัพธ์หลังการศัลยกรรมยกมุมปาก

หลังการศัลยกรรมยกมุมปากจะมีลักษณะบวมหลังผ่าตัดราว ๆ  3 วัน และก็เริ่มยุบบวมในวันที่ 4 ไปเรื่อย ๆ จวบจนกระทั่งหายสนิท จะมองเห็นรูปทรงปากที่สวยงามเข้ารูปภายใน 3 เดือน ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ขึ้นอยู่กับการดูแลและรักษาหลังการผ่าตัด แล้วก็สภาพผิวที่ร่วงโรยตามกาลเวลาของแต่ละบุคคลด้วย

นอกจากนี้ยังมีการศัลยกรรมริมฝีปากในรูปแบบต่าง  ๆ  เช่น

 การทำศัลยกรรมริมฝีปาก มีหลายแบบ ดังนี้

1. ศัลยกรรมปากกระจับ

ปากกระจับ คือ ปากที่มีรูปทรงโค้ง แล้วก็มีส่วนนูนกึ่งกลาง ซึ่งชาวเอเชียส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย จะถูกใจรูปทรงนี้มาก เพราะเหตุว่ามีความรู้สึกว่าทำแล้วใบหน้าดูหวานขึ้น รูปปากดีขึ้น ในการผ่าตัดมี 2 แบบ ในแต่ก่อนมักใช้การตัดริมฝีปากด้านข้างออก เพื่อริมฝีปากกึ่งกลางดูนูนขึ้น ซึ่งเห็นผล แม้กระนั้นมีข้อเสียสำหรับผู้ที่ริมฝีปากบางมากอยู่แล้ว การตัดริมฝีปากเพิ่มอีกก็มีข้อเสีย ยกตัวอย่างเช่น บางบุคคลยิ้มมองเห็นเหงือก หรือปิดปากไม่สนิทเลยด้วยซ้ำ การผ่าตัดสมัยก่อนก็เลยมีความจำกัด แต่ว่าในขณะนี้ ด้วยเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์ และก็จากประสบการณ์ ทำให้หมอคิดค้นเทคนิคใหม่ เรียกว่า กระบวนการทำกระจับปาก 3 มิติ โดย ไม่ต้องตัดริมฝีปากออกเยอะแยะ แต่ว่าใช้การเย็บกึ่งกลางให้นูนขึ้น ให้เป็นทรง ลักษณะเด่นคือเมื่อมิได้ตัดริมฝีปากออกมาก ก็เหมาะกับผู้ที่ปากบางอยู่แล้ว รวมทั้งปัญหาเข้าแทรกก็จะลดน้อยลง ช่องทางที่จะยิ้มมองเห็นเหงือกหรือปิดปากไม่สนิทก็จะลดลงนั่นเอง

 2. การศัลยกรรมปากบางให้หนา

คนไทยยังนิยมปากบาง หรือปากรูปทรงกระจับมากกว่า คนเอเชียส่วนมากเป็นคนหน้าเล็กอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยนิยมปากที่หนามาก แต่ว่าชาวต่างชาติโดยมากจะนิยมริมฝีปากที่หนา ถ้าหากคนไข้อยากปากดกจริง ๆ ก็สามารถทำเป็น ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน เป็นพวก HA หรือHyaluronic Acid โดยมากจะเป็นโมเลกุลขนาดเล็กฉีดเข้าไปที่ริมฝีปาก หรือใช้ไขมันตนเองมาเพิ่มที่ริมฝีปากก็ได้

3. การศัลยกรรมยกมุมปาก จัดการกับปัญหาปากคว่ำ

คนไข้ที่มีปัญหาริมฝีปากคว่ำ จะทำให้บริเวณใบหน้าดูเศร้าหมอง บางคนก็ดูเหมือนกับว่าดุตลอดระยะเวลา ฉะนั้นจำต้องพินิจพิจารณาก่อนว่า ที่รูปปากคว่ำมีสาเหตุจากอะไร บางคนอายุมาก ๆ ที่ปากคว่ำเป็นเพราะเหตุว่าผิวหน้าหย่อนยานคล้อยลงมา ก็จะต้องใช้การดึงหน้า ดึงมุมปากเข้ามาช่วย แม้กระนั้นหากอายุยังน้อย ๆ ก็เป็นตามกรรมพันธุ์ที่มุมปากจะคว่ำตลอดก็สามารถผ่าตัดยกมุมปากได้ปากกระจับปีกนกยกมุมปาก ในสมัยก่อนการผ่าตัดยกมุมปากไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากมาย เพราะว่าหลังผ่าเสร็จแล้ว มุมปากยกขึ้นจริง แต่จะมีแผลอยู่ด้านนอก ส่งผลให้มองเห็นแผลได้ชัดเจน ส่วนมากก็เลยไม่ทำกัน ถัดมามีการปรับปรุงเคล็ดวิธีมาเรื่อยจนกระทั่งเดี๋ยวนี้สามารถยกมุมปากเห็นผลที่ดี และก็แผลหลบซ่อนอยู่ข้างในปาก

4. การศัลยกรรมแก้ไขปัญหา ยิ้มมองเห็นเหงือก

การยิ้มแย้มมองเห็นเหงือก ทางภาษาแพทย์เรียกว่า กัมมี่ สไมล์ (gummy smile) คนทั่วไปเวลายิ้ม จะเห็นเหงือกอย่างมาก 1- 2 มม. แบบนี้เรียกว่าปกติ บางคนรู้สึกมีเสน่ห์ด้วยซ้ำที่ยิ้มแล้วเห็นเหงือกเล็ก ๆ ซึ่งบางคนหากยิ้มแล้วเห็นเหงือกเกิน 2 มม. ก็อาจเกิดผลเสียได้ บางคนทำให้ความมั่นใจและความเชื่อมั่นหาย ไม่กล้ายิ้ม ทางการแพทย์หากเป็นมากขนาดนั้นสามารถรักษาได้